วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สรุปบทเรียนรายวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ วันที่ 29 สิงหาคม 2558 สอนโดย อาจารย์ ภัทรดร จั้นวันดี

The ASSURE Model การใช้สื่อการสอนอย่างเป็นระบบ โดยใช้แบบจำลอง

          
            The ASSURE Model ASSURE Model เป็นรูปแบบของการวางแผน หรือออกแบบการสอนโดยเน้นการใช้สื่อ และ เทคโนโลยีเป็นองค์ประกอบ และเน้นการมีส่วน ร่วมของผู้เรียนเป็นสำคัญ มีระบบการดำเนินงานตามลำดับขั้น 6ขั้นตอน ดังนี้
             1. A = ANALYZE LEARNER'S การวิเคราะห์ลักษณะของผู้เรียน จะทำให้ผู้สอนเข้าใจลักษณะของผู้เรียนและสามารถเลือกใช้สื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับผู้เรียนและบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน การวิเคราะห์ผู้เรียนนั้นจะวิเคราะห์ใน 2 ลักษณะ คือ
                    1) ลักษณะทั่วไปทั่วไป 
                    2) ลักษณะเฉพาะ เป็นลักษณะที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่จะสอน 
             2. State objectives การกำหนดวัตถุประสงค์ 
        การเรียนการสอน ในแต่ละครั้งต้องกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน ซึ่งควรเป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ที่กำหนดความสามารถของผู้เรียนว่าจะทำอะไรได้บ้าง ในระดับใด และภายใต้เงื่อนไขใดไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถเลือกใช้วิธีการสอนและสื่อการเรียนการสอนได้เหมาะสม
          วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่กำหนดขึ้นสำหรับการเรียนการสอนแต่ละครั้ง ควรให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์ทางการศึกษาทั้ง 3 ด้าน คือ
                1) พุทธิพิสัย 
                2) จิตตพิสัย 
                3) ทักษะพิสัย 

         3. Select instructional methods, media, and materials การเลือก ดัดแปลงหรือออกแบบสื่อใหม่
การที่จะมีสื่อที่เหมาะสมในการเรียนการสอนนั้น สามารถทำได้ 3 วิธีด้วยกัน คือ
                         1) การเลือกสื่อที่มีอยู่แล้ว  เป็นการพิจารณาเลือกสื่อการเรียนการสอน ที่มีอยู่แล้วจากแหล่งต่างๆ เพื่อนำมาใช้ในการเรียนการสอน การเลือกสื่อที่มีอยู่แล้วควรมีเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้ 
                            • ลักษณะผู้เรียน
                            • วัตถุประสงค์การเรียนการสอน
                            • เทคนิคหรือวิธีการเรียนการสอน
                            • สภาพการณ์และข้อจำกัดในการใช้สื่อการเรียนการสอนแต่ละชนิด
                         2) การปรับปรุง หรือดัดแปลงสื่อที่มีอยู่แล้ว  กรณีที่สื่อการเรียนที่มีอยู่แล้วไม่เหมาะสมกับการใช้ในการเรียนการสอน ให้พิจารณาว่าสามารถนำมาปรับปรุงให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การเรียนการสอนได้หรือไม่ ถ้าปรับปรุงได้ก็ให้ปรับปรุงก่อนนำไปใช้
                           3) การออกแบบสื่อใหม่  กรณีที่สื่อการเรียนการสอนที่มีอยู่ไม่สามารถนำมาใช้ได้หรือไม่เหมาะสมที่จะนำมาปรับปรุงใช้ หรือไม่มีสื่อการเรียนการสอนที่ต้องการใช้ในแหล่งบริการสื่อการเรียนการสอนใดเลย ก็จำเป็นต้องออกแบบและสร้างสื่อการเรียนการสอนขึ้นมาใหม่
             4. Utilize media and materials การใช้สื่อ ขั้นตอนการใช้สื่อการเรียนการสอน มีขั้นตอนที่สำคัญอยู่ 4 ขั้นตอน คือ
                          1) ดูหรืออ่านเนื้อหาในสื่อ / ทดลองใช้  
                          2) เตรียมสภาพแวดล้อม / จัดเตรียมสถานที่ 
                          3) เตรียมผู้เรียน  
                         4) การนำเสนอ / ควบคุมชั้นเรียน
              5. Require learner participation การกำหนดการตอบสนองของผู้เรียน  การใช้สื่อในการเรียนการสอนแต่ละครั้ง ผู้สอนต้องจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมและกระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนให้มากที่สุด โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถ ตอบสนองโดยเปิดเผย ( overt respone ) โดยการพูดหรือเขียน และการตอบสนองภายในตัวผู้เรียน ( covert response ) โดยการท่องจำหรือคิดในใจ เมื่อผู้เรียนมีการตอบสนองผู้สอนควรให้การเสริมแรงทันที 
             6. Evaluate and revise การประเมินการใช้สื่อ  หลังจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแล้ว จำเป็นต้องมีการประเมินผลกระบวนการเรียนการสอนเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ช่วยให้ผู้สอนทราบว่า การเรียนการสอนบรรลุวัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใดสิ่งที่ต้องประเมินได้แก่
                             1) การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
                             2) การประเมินสื่อและวิธีใช้
                             3) การประเมินกระบวนการเรียนการสอน
สรุป The ASSURE Model
  จากรูปแบบจำลอง The ASSURE model จะเน้นถึงการวางแผนการใช้สื่อ อย่างเป็นระบบในสภาพของห้องเรียนจริง เพื่อให้ผู้สอนสามารถนำรูป แบบจำลองนี้ มาใช้วางแผนการสอนได้อย่างมีประสิทธิผล ถ้าหากผู้สอน สามารถดำเนินการได้ตามกระบวนการได้ถูกต้องทุกขั้นตอนจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
ได้เป็นอย่างดี

ดิคและคาเรย์ (Dick and Carey)

                ดิค และคาเรย์ (Dick; & Carey. 1985) ได้เสนอรูปแบบระบบการออกแบบการสอน สรุปรวมได้ 3 องค์ประกอบ คือ
                 1. กำหนดจุดมุ่งหมายของการสอน
                 2. การพัฒนาการสอน
                 3. การประเมินการเรียนการสอน
จาก 3 องค์ประกอบ สามารถจัดแบ่งกิจกรรมการออกแบบระบบการสอน
ออกเป็น 10 ขั้นตอน คือ
          1. กำหนดจุดมุ่งหมายการสอน (Identify Instructional Goals) เป็นการกำหนดก็ทำการวิเคราะห์ความจำเป็น (Needs Analysis) และวิเคราะห์ผู้เรียน
          2. การวิเคราะห์การสอน (Conduct Instructional Analysis) ขั้นตอนนี้อาจทำก่อนหรือหลังขั้นที่ 3 หรืออาจทำไปพร้อม ๆ กันก็ได้ การวิเคราะห์การสอนเป็นการวิเคราะห์ภารกิจ หรือวิเคราะห์ขั้นตอนดำเนินการสอน ผลการวิเคราะห์การสอนที่ได้ จะเป็นการจัดหมวดหมู่ของภารกิจ (Task Classification) ตามลักษณะของจุดมุ่งหมายการสอน
          3. ศึกษาพฤติกรรมเบื้องต้นและคุณลักษณะของผู้เรียน (Identify Entry Behaviors) ว่าเป็นผู้เรียนระดับใด มีพื้นความรู้เพียงใด
          4. เขียนจุดมุ่งหมายการเรียน (Write Performance Objectives) ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายเฉพาะหรือจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม และสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายการสอน 
         5. สร้างแบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Develop Criterion Referenced Test Items)
เพื่อประเมินการเรียนการสอน
         6. พัฒนายุทธศาสตร์การสอน (Develop Instructional Strategy) เป็นแผนการ
สอนหรือเหตุการณ์การสอน ที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพตาม
จุดมุ่งหมายการสอน
         7. พัฒนาและเลือกวัสดุการเรียนการสอน (Develop and Select Instructional
Materials) เป็นการพัฒนาและเลือกสื่อการเรียนการสอนทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อโสตทัศน์
         8. ออกแบบและจัดการประเมินระหว่างเรียน (Design and Conduct Formative
Evaluation)
         9. ออกแบบและจัดการประเมินหลังเรียน (Design and Conduct Summative
Evaluation)
         10. แก้ไขปรับปรุงการสอน (Revise Instruction) เป็นขั้นการแก้ไขและปรับปรุง
การสอนตั้งแต่ขั้นที่ 2 ถึงขั้นที่ 8


ระบบการสอนของเกอร์ลาซและอีลี(Gerlach and Ely)


             ระบบการสอนของเกอร์ลาซและอีลี นับเป็นระบบการสอนที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย มีการแบ่งขั้นตอนออกได้เป็น 10 ขั้นตอน คือ
              1. การกำหนดวัตถุประสงค์ (Specification of Objectives) คือการกำหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนขึ้นมาก่อนว่าควรเป็นวัตถุประสงค์เฉพาะ หรือ วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 
             2. การกำหนดเนื้อหา (Specification of Content) เป็นการเลือกเนื้อหาที่เหมาะสม 
             3. การประเมินพฤติกรรมเบื้องต้น (Assessment of Entry Behaviors) เป็นการประเมินก่อนเรียน 
             4. การกำหนดกลยุทธของวิธีการสอน (Determination of Strategy) เป็นวิธีการของผู้สอนในการใช้ความรู้ เลือกทรัพยากรและกำหนดบทบาทของผู้เรียนในการเรียน ซึ่งเป็นแนวทางเฉพาะเพื่อช่วยให้สามารถบรรลุถึงวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนนั้น กล่าวคือ
                4.1  การสอนแบบเตรียมเนื้อหาความรู้ให้แก่ผู้เรียนโดยสมบูรณ์ทั้งหมด (expository approach) เป็นการสอนที่ผู้สอนป้อนความรู้ให้ผู้เรียนโดยการใช้สื่อต่าง ๆ และจากประสบการณ์ของผู้สอน 
               4.2  การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้หรือแบบไต่สวน (discovery or inquiry approach) ผู้สอนมีบทบาทเพียงเป็นผู้เตรียมสื่อและจัดสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในการเรียน 
             5. การจัดแบ่งกลุ่มผู้เรียน (Organization of Groups) เป็นการจัดกลุ่มผู้เรียนให้เหมาะสมกับวิธีสอนและเพื่อให้ได้เรียนรู้ร่วมกันอย่างเหมาะสม โดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ เนื้อหาและวิธีการสอนด้วย
             6. การกำหนดเวลาเรียน (Allocation of Time) โดยขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่จะเรียน วัตถุประสงค์ สถานที่และความสนใจของผู้เรียน
             7. การจัดสถานที่เรียน (Allocation of Space) ซึ่งจะขึ้นอยู่กับขนาดของกลุ่มผู้เรียน เช่น
                 7.1 ห้องเรียนขนาดใหญ่  สามารถสอนได้ครั้งละ 50 – 300 คน
                 7.2 ห้องเรียนขนาดเล็ก เพื่อใช้ในการเรียนการสอนแบบกลุ่มย่อยหรือการจัดกลุ่มสัมมนาหรืออภิปราย
                 7.3 ห้องเรียนแบบเสรีหรืออิสระ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนตามลำพังหรืออาจเป็นห้องศูนย์สื่อการสอนที่มีคูหาเรียนเป็นรายบุคคล
             8. การเลือกสรรทรัพยากร (Allocation of Resource) เป็นการที่ผู้สอนเลือกสื่อการสอนที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ เนื้อหา วิธีการสอน และขนาดของกลุ่มผู้เรียน เพื่อให้การสอนบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้
             8.1  สื่อบุคคลหรือของจริง
             8.2  วัสดุและอุปกรณ์เครื่องฉาย
             8.3  วัสดุและอุปกรณ์เครื่องเสียง
             8.4  สื่อสิ่งพิมพ์
             8.5  วัสดุที่ใช้แสดง
          9. การประเมินสรรถนะ (Evaluation of Performance) เป็นการประเมินความสามารถและพฤติกรรมของผู้เรียนอันเกิดจากกระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน หรือระหว่างผู้เรียนกับสื่อการสอน 
        10. การวิเคราะห์ข้อมูลป้อนกลับ (Analysis of Feedback) เพื่อทำให้ทราบว่าผลที่เกิดขึ้นนั้นป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้มากน้อยเพียงใด เพราะเหตุใด อันจะเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขระบบการสอนให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น


 The  Kemp Model


เคมพ์ (Jerrold/Kemp) แบ่งขั้นตอนในการพิจารณาการจัดระบบการสอนเป็นสาระสำคัญ 10 ประการ คือ 
           1. ความต้องการในการเรียน จุดมุ่งหมายในการสอน สิ่งสำคัญ/ข้อจำกัด (Learner Needs, Goals, Priorities, Constraints) การประเมินความต้องการในการเรียน 
         2. หัวข้อเรื่อง ภารกิจ และจุดประสงค์ทั่วไป (topics-job tasks purposes) ในการสอนหรือโปรแกรมของการอบรมที่จัดขึ้นนั้นย่อมประกอบด้วยหัวข้อเรื่องของวิชาซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพื้นฐานความรู้ และ/หรือหัวข้องานที่เป็นพื้นฐานทางทักษะด้านกายภาพ
        3. ลักษณะของผู้เรียน (learner characteristics) เป็นการสำรวจเพื่อพิจารณาถึงภูมิหลังด้านสังคม การศึกษา และสภาพเศรษฐกิจของผู้เรียนแต่ละคน 
        4. เนื้อหาวิชาและการวิเคราะห์ภารกิจ (subject content, task analysis) ในการวางแผนการสอน เนื้อหาวิชาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนับว่าเป็นสิ่งสำคัญมากอย่างหนึ่ง 
        5. วัตถุประสงค์ของการเรียน (learning objectives) เป็นการตั้งวัตถุประสงค์ของการเรียนว่าผู้เรียนควรรู้หรือสามารถทำอะไรได้บ้างเมื่อเรียนบทเรียนนั้นจบแล้ว 
     6. กิจกรรมการเรียนการสอน (teaching / learning activiies) ในการวางแผนและเลือกกิจกรรมการเรียนการสอนนั้นผู้สอนควรจะคำนึงถึงแผนสำคัญ อย่างคือ การสอนเนื้อหาในชั้นเรียนควรเป็นรูปแบบใด วิธีการเรียนของผู้เรียนควรเป็นอย่างไร และกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนควรมีอะไรบ้าง 
        7. ทรัพยากรในการสอน (instructional resources) ทรัพยากรในที่นี้หมายถึงสื่อการสอนที่จะช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้กิจกรรมการเรียนการสอนเป็นไปอย่างดี มีประสิทธิภาพ สื่อต่างๆ 
         8. บริการสนับสนุน (support services) บริการสนับสนุนรวมถึงการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอน ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง 
      9. การประเมินผลการเรียน (learning evaluation) เป็นการประเมินผลว่าผู้เรียนนั้นได้รับความรู้ สามารถบรรลุตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้หรือไม่เพียงใด โดยการสร้างเครื่องมือทดสอบและวัดผล 
      10.การทดสอบก่อนการเรียน (pretesting) เป็นการทดสอบก่อนว่าผู้เรียนมีประสบการณ์เดิม และพื้นความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะสอนใหม่อย่างไรบ้าง หรือมีความรู้ความชำนาญอะไรบ้างเกี่ยวกับวิชาที่เรียนมาแล้ว การประเมินผลก่อนการเรียนเป็นเครื่องชี้ความพร้อมของผู้เรียนว่า ควรจะได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีกบ้างจากความรู้เก่าที่เคยเรียนมา 









วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สรุปเนื้อหาการเรียน รายวิชา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา วันที่ 22 สิงหาคม 2558 สอนโดย อาจารย์ภัทรดร จั้นวันดี

" ครูกับการออกแบบการเรียน สู่คุณภาพเด็กไทย "  

เทคนิคการสอน
          เทคนิคการแบ่งกลุ่มโดยการแจกลูกอมให้กับผู้เรียนคนละสี
องค์ประกอบการเรียน การสอน 
          O = objective  คือ กระบวนการจัดการเรียนรูู้
          E = Evaluation  คือ การวัดผลและประเมินผล 
          L = Learning Experience คือ การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และประสบการณ์


พฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ คือ
       -  พุทธิสัย       -  จิตพิสัย       -  ทักษะพิสัย


คุณภาพของผู้เรียน ประกอบไปด้วย
       - ความรู้  มาตราฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้
       - สมรรถนะ  สมรรถนะของผู้เรียน 5 สมรรถนะ
       - คุณลักษณะอันพึงปประสงค์ 8 ประการ

การวิเคราะห์หลักสูตร
      - จุดมุ่งหมายของหลักสูตร
      - ศึกษาสาระในกลุ่มสาระการเรียนรู้
      - ศึกษามาตราฐานตัวชี้วัด
      - ศึกษาคำอธิบายรายวิชา



คุณลักษณะของครูในยุคศตวรรษที่ 21

  E- Teacher  ประกอบด้วย
       1. Experience มีประสบการณ์การเรียนรู้แบบใหม่ ใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Intermet  e-mail CD  เป็นต้น
       2. Extended มีทักษะการค้นหาความรู้ได้ตลอดเวลาเพราะเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต สามารถใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่ไหนก็ได้ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ในการหาความรู้ด้วยเทคโนโลยี
      3. Expanded การขยายผลสู่ความรู้นั้นสู่นักเรียน ประชาชนทั่วไปและชุมชนสามารถถ่ายทอดความรู้ลง CD VDO โทรทัศน์ หรือบน web เพื่อให้เกิดการเพิ่มความรู้ที่เป็นประโยชน์ของบุคลากรโดยรวม
      4. Exploration สามารถเลือกเนื้อหาที่ทันสมัยเอกสารอ้างอิงค้นคว้าทั้งสารและบันเทิง เพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์เพื่อนำมาออกแบบการเรียนการสอน
      5. Evaluation เป็นนักประเมินที่ดี สามารถใช้เทคโนโลยีในการประเมินผล
      6. End-User เป็นผู้ใช้ปลายทางที่ดี เช่น สามารถ Browers ไป website ที่มีคุณค่าบนอินเตอร์เน็ตและเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีได้
      7. Enabler สามารถใช้เทคโนโลยีสร้างบทเรียนและเนื้อหาเพิ่มเติมมาใช้ประกอบการเรียนการสอน สามารถใช้ software และ hardware มาสร้างบทเรียนอย่างน้อยที่สุด สามารถสร้างการนำเสนอเนื้อหาด้วย power point เป็นการจูงใจให้นักเรียนสนใจในการเรียนมากขึ้นหรือการใช้ Authoring เป็นต้น
      8. Engagement ครูที่ร่วมมือกัน แลกเปลี่ยนความเห็นหาแนวร่วม เพื่อให้เกิดชุมชน เช่น การพูดคุยกันบนเว็บ ทำให้มีความคิดใหม่ๆ มีข้อเสนอแนะ เกิดชุมชนครูบนเว็บ
      9. Efficient and Effective ครูที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล คือ ใช้เทคโนโลยีได้อย่างคล่องแคล่วเป็นผู้ผลิตผู้กระจายและใช้ความรู้
   
       สรุป e-teacher คือ ผู้ที่ทำหน้าที่จัดการเรียนรู้แบบ e-learning ให้แก่ผู้เรียน  ครูในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นครูการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือครูอุดมศึกษา จำเป็นต้องพัฒนาตนเองให้เป็น e-teacher  เพราะรูปแบบการจัดการศึกษาที่กำลังปรับเปลี่ยนไปเนื่องจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีการสื่อสาร ในการจัดการเรียนรู้แบบ e-learning  จะประกอบด้วยบทบาทและหน้าที่หลากหลายที่ครูจะต้องทำ ซึ่งทั้งหมดนั้นอาจทำได้โดยครูเพียงคนเดียว  หรือต้องอาศัยครูและบุคลากรหลายคนมาช่วยกัน   ดังนั้นการพัฒนาครูให้เป็น e-teacher จึงต้องมีการดำเนินงานอย่างมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องการ e-teacherแบบเบ็ดเสร็จ หรือ e-teacher แบบทีม

นางสาวพรรณทิพย์  ปากดี รหัส 58723713217

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สรุปเนื้อหาการเรียน รายวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา ในวันที่15 สิงหาคม 2558 สอนโดย อาจารย์ภัทรดร จั้นวันดี

1. นวัตกรรม คือ การทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆขึ้นมา เช่น การนำสื่อการสอนไปปรับปรุงให้มีรูปแบบใหม่
2. หลักสูตรแบ่งออกเป็น 4 ประเภท
        - หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
        - หลักสูตรรายบุคคล
        - กิจกรรมเสริมหลักสูตร
        - การจัดกิจกรรมที่ให้ชุมชนมีส่วนร่วม
3. นวัตกรรมการเรียน การสอน
4. เครื่องมือการจัดการเรียนการสอน เช่น บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทเรียนสำเร็จรูป เครื่องมือในการสอน( ใบงาน ) ชุดการสอน (สื่อต่างๆที่สามารถนำมาประกอบการสอน )
5. การวัดผลการประเมินผล
       - การวัดระหว่างการจัดการเรียนการสอน
       - การประเมินแบบผ่าน/ไม่ผ่าน (การวินิจฉัย)
       - การเลื่อนชั้นแบบอัตโนมัติ
       - การวัดความรู้ก่อนจัดการเรียนการสอน
6. การสื่อสารกับการเรียนการสอน
       - การเรียนรุ้ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมกระบวนการรับรู้และเรียนรู้ให้แสดงออกมา
       - การสอน เกิดจากสิ่งที่เรารับเข้ามา แล้วนำไปถ่ายทอดออกไป
       - การสื่อสาร มี 2 แบบ คือ การสื่อสารระบบทางเดียว และ การสื่อสารระบบสองทาง(แบบสมบูรณ์)
7. พีรามิดแห่งการเรียนรู้ (Learning Pyramid) พีระมิดที่บอกถึงความสามารถในการจดจำของคนเรา
Teach others การสอน  จะเป็นวิธี่ที่ช่วยให้จดจำได้ดีที่สุดถึง 90%
8. ทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม (Bloom's Taxonomy) แบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ พุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย


                                                           

                  
                                                            นางสาวพรรณทิพย์  ปากดี  รหัส 58723713217